ในงานก่อสร้างก็เฉกเช่นเดียวกัน ย่อมมีปัญหาและอุปสรรคต่างๆมากมาย ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ จนกระทั่งงานก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งปัจจัยที่จะก่อให้เกิดปัญหาหรืออุปสรรคเหล่านั้นก็มีหลากหลายรูปแบบด้วยกันทั้ง ทำเลที่ตั้งของสถานที่ก่อสร้าง สภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ การเมือง การจราจร กฏหมายหรือข้อกำหนดต่างๆในแต่ละพื้นที่ รวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชนที่จะทำการก่อสร้าง ฯ สิ่งเหล่านี้มักจะส่งผลกระทบต่อหัวใจหลักในงานก่อสร้างแทบทั้งสิ้น นั่นคือ คุณภาพ งบประมาณ และเวลา ดังนั้นการศึกษาข้อมูลและเตรียมแผนรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆล่วงหน้าย่อมเป็นสิ่งสำคัญ และการวางแผนหรือป้องกันล่วงหน้าเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถ ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแต่ละบุคคลที่ต้องร่วมมือร่วมใจกันในงานนั้นๆ
ในขั้นตอนการลงมือก่อสร้างก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าในการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ก่อนการก่อสร้างจะทำได้ดีเพียงใดแล้วก็ตาม ก็ใช่ว่าจะไม่เกิดปัญหาหรืออุปสรรคขึ้นเลย เพียงแต่สิ่งเหล่านี้อาจจะทุเลาเบาบางลงไปบ้างก็เท่านั้น และถ้าหากว่าปัญหาหรืออุปสรรคเริ่มมีตั้งแต่งานฐานราก ซึ่งเป็นหัวใจหลักขององค์อาคารนั้นๆล่ะจะเป็นอย่างไร
ในบทความนี้จะกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาชั้นหินใต้ดินซึ่งอยู่เหนือระดับฐานรากในพื้นที่ก่อสร้างของโครงการ ซึ่งก่อนการออกแบบงานโครงสร้างนั้นได้มีการสุ่มเจาะสำรวจดิน (Soil Boring Test) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และวิศวกรผู้ออกแบบงานโครงสร้างได้นำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการออกแบบ ซึ่งในการสุ่มเจาะสำรวจดินนั้นก็ไม่ปรากฏข้อมูลว่ามีหินปูนก้อนใหญ่ๆอยู่ใต้ดินแต่อย่างใด แต่สภาพพื้นที่ที่หน้างานจริงกลับมีหินปูนอยู่ใต้ดินทั้งผืนและอยู่สูงกว่าระดับของฐานรากที่ได้ออกแบบไว้ ซึ่งทางโครงการได้หารือและสรุปร่วมกันว่าจะใช้วิธีสกัดหินในตำแหน่งหลุมฐานรากเหล่านั้นออกบางส่วน โดยให้เป็นแนวราบมากที่สุด หลังจากนั้นจะลงทรายพร้อมบดอัดและทำ Plate Bearing Test เพื่อหาค่าการรับน้ำหนักบรรทุกของดิน เพื่อเปรียบเทียบกับ Bearing Capacity เดิมที่ผู้ออกแบบได้ใช้ออกแบบโครงสร้างฐานรากอาคารไว้ที่ 25 ตัน/เมตร2
การทดสอบการรับน้ำหนักบรรทุกของดิน ( Plate Bearing Test ) มีอุปกรณ์และวิธีการดังนี้
1. เครื่องมือและอุปกรณ์ในการทดสอบ
1.1 ใช้รถขุดดิน PC 320 จอดคร่อมจุดทดสอบเพื่อใช้เป็นแรงปฏิกิริยาในการทดสอบ
1.2 Hydraulic Jack หรือแม่แรงไฮดรอลิก เป็นเครื่องมือเพิ่มน้ำหนักทดสอบ
1.3 Steel Plate ขนาด 0.50 x 0.50 ม. หนา 25 มม. วางบนจุดทดสอบ
1.4 Ball Bearing ใช้เพื่อลดการเยื้องศูนย์ของแรงที่เกิดขึ้น โดยวางอยู่ระหว่าง Reaction
System กับ Hydraulic Jack
1.5 Dial Gauges ใช้ 4 ตัว เพื่อสำหรับวัดการทรุดตัวที่เกิดขึ้นระหว่างทดสอบ ซึ่งสามารถวัดได้
ด้วยความละเอียด 0.01 มม. และสามารถวัดค่าความทรุดตัวได้อยู่ระหว่าง 0-30 มม. โดย
จะติดตั้งอยู่ระหว่าง Steel Plate และ Reference Beam
2. ขั้นตอนการทดสอบ
2.1 วางเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆตามภาพประกอบ
2.2 เพิ่มน้ำหนักทดสอบขึ้นครั้งละ 10% โดยเริ่มจาก 0%, 10%, 20%, 30%, 40%, 50%,
60%, 70%, 80%, 90% และ100% ของน้ำหนักทดสอบ
2.3 น้ำหนักแต่ละขั้นจะรักษาไว้เป็นเวลา 15 นาที และจะจดบันทึกค่าการทรุดตัวที่เวลา 1, 2,
4, 8 และ 15 นาที
2.4 เมื่อน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึงน้ำหนักสูงสุด (100% ของน้ำหนักทดสอบ) จะรักษาน้ำหนักที่ระดับนั้น
เป็นเวลา 15 นาที และหลังจากนั้นจะลดน้ำหนักลงเป็นขั้นๆ 4 ช่วง โดยเริ่มจาก 75%,
50%, 25% และ 0% ตามลำดับ
2.5 การจดบันทึกค่าการทรุดตัวที่เวลา 1, 2, 4, 8 และ 15 นาที3. ผลการทดสอบ
จากการทดสอบที่การรับน้ำหนักสูงสุดที่ 75 ตัน/เมตร2 เท่ากับ 3 เท่าของน้ำหนักบรรทุกที่ออกแบบไว้ โดยได้การทดสอบ 6 จุด และทั้ง 6 จุดมีค่าการทรุดตัวน้อยกว่า 25 มิลลิเมตร สรุปได้ว่าจุดทดสอบทั้งหมดสามารถรับน้ำหนักบรรทุกปลอดภัยได้ที่ 25 ตัน/เมตร2 ตามที่ได้ออกแบบไว้
จุดทดสอบที่ 1
ค่าการทรุดตัวที่น้ำหนักทดสอบ 75.00 ตัน/เมตร2
|
= 4.96 มม.
|
ค่าการทรุดตัวถาวรภายหลังการลดน้ำหนักทดสอบที่
0.00 ตัน/เมตร2
|
= 2.45 มม.
|
ค่าการคืนตัว (Elastic Recovery) หลังการลดน้ำหนักทดสอบที่
0.00 ตัน/เมตร2
|
= 2.51 มม.
|
จุดทดสอบที่ 2
ค่าการทรุดตัวที่น้ำหนักทดสอบ 75.00 ตัน/เมตร2
|
= 7.37 มม.
|
ค่าการทรุดตัวถาวรภายหลังการลดน้ำหนักทดสอบที่ 0.00 ตัน/เมตร2
|
= 4.22 มม.
|
ค่าการคืนตัว (Elastic Recovery) ภายหลังการลดน้ำหนักทดสอบที่
0.00 ตัน/เมตร2
|
= 3.15 มม.
|
จุดทดสอบที่ 3
ค่าการทรุดตัวที่น้ำหนักทดสอบ 75.00 ตัน/เมตร2
|
= 11.12 มม.
|
ค่าการทรุดตัวถาวรภายหลังการลดน้ำหนักทดสอบที่ 0.00 ตัน/เมตร2
|
= 7.61 มม.
|
ค่าการคืนตัว (Elastic Recovery) ภายหลังการลดน้ำหนักทดสอบที่
0.00 ตัน/เมตร2
|
= 3.51 มม.
|
จุดทดสอบที่ 4
ค่าการทรุดตัวที่น้ำหนักทดสอบ 75.00 ตัน/เมตร2
|
= 12.49 มม.
|
ค่าการทรุดตัวถาวรภายหลังการลดน้ำหนักทดสอบที่ 0.00 ตัน/เมตร2
|
= 8.49 มม.
|
ค่าการคืนตัว (Elastic Recovery) ภายหลังการลดน้ำหนักทดสอบที่
0.00 ตัน/เมตร2
|
= 4.00 มม.
|
จุดทดสอบที่ 5
ค่าการทรุดตัวที่น้ำหนักทดสอบ 75.00 ตัน/เมตร2
|
= 4.42 มม.
|
ค่าการทรุดตัวถาวรภายหลังการลดน้ำหนักทดสอบที่ 0.00 ตัน/เมตร2
|
= 2.22 มม.
|
ค่าการคืนตัว (Elastic Recovery) ภายหลังการลดน้ำหนักทดสอบที่
0.00 ตัน/เมตร2
|
= 2.20 มม.
|
จุดทดสอบที่ 6
ค่าการทรุดตัวที่น้ำหนักทดสอบ 75.00 ตัน/เมตร2
|
= 5.33 มม.
|
ค่าการทรุดตัวถาวรภายหลังการลดน้ำหนักทดสอบที่ 0.00 ตัน/เมตร2
|
= 3.25 มม.
|
ค่าการคืนตัว (Elastic Recovery) ภายหลังการลดน้ำหนักทดสอบที่
0.00 ตัน/เมตร2
|
= 2.08 มม.
|
การควบคุมการทดสอบ
ในกควบคุมงานจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคอยควบคุมและตรวจสอบทั้งความพร้อมและความถูกต้องในกระบวนการทดสอบทุกขั้นตอน ดังนี้
1. การเตรียมพื้นที่หรือหลุมตำแหน่งที่จะทดสอบจะต้องสกัดปลายหินแหลมๆให้เป็นแนวราบ ถมทรายและบดอัดให้แน่น
2. เครื่องจักรที่ใช้เป็นแรงปฏิกิริยาในการทดสอบต้องอยู่ในสภาพทำงานได้เป็นปกติ
3. อุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ทำการทดสอบจะต้องมีขนาดตามมาตรฐาน และโดยเฉพาะ Hydraulic Jack, Dial Gauges ต้องไม่มีรอยชำรุด เพราะจะทำให้ค่าการทดสอบนั้นผิดพลาดได้
4. ในขณะที่ทดสอบ ผู้ควบคุมงานจะต้องคอยตรวจสอบค่าที่อ่านได้ (ข้อมูลดิบ) จาก Dial Gauges ทั้งหมดให้สัมพันธ์สอดคล้องกับเวลาแต่ละช่วงตามมาตรฐานการทดสอบ และตรวจสอบความถูกต้องในการจดบันทึกข้อมูลของผู้ที่ทำการทดสอบด้วย ซึ่งหากผู้ควบคุมงานเป็นคนอ่านค่าต่างๆด้วยตัวเอง และบอกผู้จดบันทึกก็จะทำให้ได้ข้อมูลที่ตรงกัน หลีกเลี่ยงความผิดพลาดจากการอ่านค่าคนละครั้ง
5. เมื่อผู้ควบคุมงานได้รับเอกสารสรุปผลการทดสอบฉบับสมบูรณ์ (ตาราง, กราฟและหนังสือรับรองจากวิศวกร) มาแล้ว จะต้องนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลดิบที่เก็บในขณะทดสอบอีกครั้งเพื่อตรวจสอบความถูกต้องทั้งหมดก่อนสรุปข้อมูลให้ทางโครงการดำเนินงานขั้นต่อไป
ภาพแสดงขั้นตอนการทำ Plate Bearing Test
1. ตรวจสอบสภาพหลุมหรือพื้นที่ที่จะทดสอบ
2. นำรถแบคโฮเข้าประจำที่ที่ทำการทดสอบ
3. ประกอบ-ติดตั้งอุปกรณ์ต่าง
4. ทดสอบและจดบันทึกค่าต่างๆ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น